ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจที่สร้างสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งไม่ได้หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่ประกอบไปด้วยงานระบบและโครงสร้างเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมารวมกันของผู้คน ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและทำงาน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร หรือโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนมีการใช้ชีวิตของผู้คนภายในอาคารเหมือนกัน ดังนั้นถ้าการบริหารจัดการอาคารมีระบบที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพชีวิตของผู้คนภายในอาคารก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีไปด้วย ซึ่งนอกจากจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้
และอาคารอัจฉริยะคือสิ่งที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ที่จะนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมากำหนดแนวทางให้อาคารแบบดั้งเดิมกลายเป็น Smart Building ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G แบบไร้สายภายในอาคาร การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และประเด็นสำคัญคือ การมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีความแน่นหนาและรัดกุม ให้เหมาะกับยุคแห่งการเชื่อมต่อระหว่างตัวอาคารและเซนเซอร์ ทั้งหมดนี้คือเทคโนโลยี และโซลูชันที่จะช่วยในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Smart Building ที่แข็งแกร่ง
ปัญหาที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปสู่การเป็น Smart Building ได้ คือ การมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ส่งผลให้ธุรกิจไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ดังนั้นการเริ่มเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ Smart Building คือ การมองภาพรวมทั้งหมด และเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเล็กน้อยเพื่อนำไปประกอบเป็นภาพใหญ่ขององค์กร ที่มีความพร้อมรอบด้าน โดยปัญหาที่ผู้ประกอบการมักจะมองข้าม คือ
1. ไม่ได้กำหนดแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉินให้รัดกุม การวางแผนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลายคนมักจะมองข้ามไป ด้วยเหตุผลที่คิดว่า ระบบรักษาความปลอดภัยภายในอาคารมีประสิทธิภาพเพียงพอแล้ว การเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้มีความรัดกุมมากขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองงบประมาณ ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นมีเปอร์เซ็นต์ที่เกิดขึ้นได้น้อย แต่ถ้าหากไม่มีแผนการรับมือก็มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจตกอยู่ในความเสี่ยง
ดังนั้นการเพิ่มเซนเซอร์สำหรับดูแลความปลอดภัยภายในอาคารจึงไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองอย่างที่คิด แต่จะยิ่งช่วยให้ธุรกิจไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยตัวเซนเซอร์จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด บันทึกเก็บเอาไว้ในคลาวด์ และระบบ AI จะนำข้อมูลที่เก็บรักษาเอาไว้มาประมวลผลถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมแนวทางการป้องกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ใช้ตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างทันท่วงที
2.ไม่มีแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในอาคาร เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ผู้ประกอบการบางรายสามารถนำพาธุรกิจไปสู่การเป็น Smart Building ได้สำเร็จแล้ว แต่กลับสะดุดขาตัวเอง เพราะขาดการวางแผนเพื่อการบำรุงรักษาอุปกรณ์จำเป็นภายในอาคาร เช่น ไม่มีแผนการตรวจสอบประสิทธิภาพของเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ภายในอาคาร ไม่มีแผนการทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ และไม่มีแผนการบำรุงรักษากล้องวงจรปิดตามอายุการใช้งาน เป็นต้น
ซึ่งแผนการสำหรับบำรุงรักษาอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองงบประมาณในการซ่อมแซมเมื่ออุปกรณ์เกิดความเสียหายแบบปัจจุบันทันด่วน การกำหนดตารางสำหรับการตรวจเช็กและบำรุงรักษา จะช่วยให้อุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยยืดอายุการใช้งาน โดยผู้ประกอบการสามารถติดตั้งเซนเซอร์สำหรับแจ้งเตือน เมื่อถึงเวลาที่ต้องบำรุงรักษาอุปกรณ์ หรือถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่
3.ตัดสินใจลงทุนกับเทคโนโลยีที่ไม่มีประสิทธิภาพ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนจะต้องทราบเป็นอย่างดีว่า การสร้าง Smart Building จะต้องมีการลงทุนในระบบและอุปกรณ์ เพื่อการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ยังคงมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่เลือกลงทุนกับอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพียงเพราะต้องการประหยัดงบประมาณ ซึ่งการกระทำนี้จะนำไปสู่การเป็น Smart Building ที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งผู้ประกอบการยังต้องเสียงบประมาณอีกจำนวนไม่น้อยเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่
ดังนั้นเพื่อความยั่งยืนในการเป็น Smart Building ที่สมบูรณ์แบบ ผู้ประกอบการควรพิจารณาเลือกใช้ระบบและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ทั้งงานวางระบบเครือข่ายอัจฉริยะ และการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน ส่วนในกรณีที่อาจจะมีงบประมาณจำกัด การเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Building นั้นยังสามารถดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้เช่นกัน โดยอาจจะเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนส่วนที่เร่งด่วนก่อน พร้อม ๆ กับการวางแผนระยะยาวเพื่อทยอยพัฒนาสู่ Smart Building อย่างครบถ้วนเมื่อความพร้อมและทรัพยากรมีเพียงพอ ทั้งนี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อาคารอัจฉริยะ หรือ Smart Building คืออาคารที่มีความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ที่รองรับระบบ IoT เชื่อมต่อกับระบบ AI และระบบอัตโนมัติ สำหรับควบคุมการทำงานของอาคารโดยที่มีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเพียงเล็กน้อย เช่น ระบบระบายอากาศ ระบบควบคุมแสงสว่าง ระบบควบคุมการใช้พลังงาน และการรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
แนวคิดการพัฒนา Smart Building เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นำมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐาน โดยระบบของ Smart Building จะสามารถพัฒนาไปได้ไกลแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อตอบสนองและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในธุรกิจ โดยเทคโนโลยีที่จะเป็นรากฐานของ Smart Building ที่สมบูรณ์แบบนับจากวันนี้ไปสู่อนาคต คือ
1.เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจด้วย AI บทบาทของ AI เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพของ Smart Building เริ่มมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เพราะ AI ถูกนำมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ประกอบไปด้วยเครือข่ายอัจฉริยะ แอปพลิเคชัน ระบบอัตโนมัติ และระบบ IoT เพื่อการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมากด้วยเซนเซอร์อัจฉริยะที่ติดตั้งอยู่ภายในอาคาร ซึ่งการประมวลผลวิเคราะห์ด้วยระบบ AI ไม่เพียงช่วยให้การทำงานของอาคารมีความราบรื่นขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยกำหนดแนวทางที่มีความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจได้ด้วย
โดยผู้ประกอบการสามารถกำหนดพื้นที่ที่ต้องการประหยัดพลังงานให้กับระบบ AI เพื่อให้ระบบได้ทำการเฝ้าติดตามและตรวจสอบการใช้พลังงานที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่นั้น ๆ ส่วนในด้านการรักษาความปลอดภัย ระบบอัลกอริทึมของ AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมจากกล้องวงจรปิด ที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์ภายในอาคาร เพื่อควบคุมการเข้าออก รวมไปถึงคาดการณ์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมแนวทางป้องกัน โดยระบบ AI สามารถวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ถึงอันตรายที่มีโอกาสเกิดขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดมาตรการเชิงรุก เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้แก่ผู้คนที่อยู่ภายในอาคาร และเมื่อนำระบบ AI มาใช้งานร่วมกันกับโครงสร้างพื้นฐานอย่างเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G และแอปพลิเคชัน ต่าง ๆ จะเกิดเป็น Smart Building ที่สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง พร้อมรับมือกับเรื่องท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมั่นคง
2.การใช้งานเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G คือรากฐานที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยถ้าหากผู้ประกอบการต้องการให้ Smart Building ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI อย่างมีประสิทธิภาพ และรวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความรัดกุม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาโครงข่ายอัจฉริยะ 5G เพื่อช่วยสร้างให้ระบบ Smart Building มีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ยังนับว่าเป็นแกนหลักที่ทำให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
โดยแนวทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่จะทำให้ Smart Building เข้าสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่อ จะต้องมีเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับเทคโนโลยี สร้างเป็นความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ที่อยู่ในอาคารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
3. ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสูง เทคโนโลยีช่วยสร้างสรรค์ระบบรักษาความปลอดภัยภายใน Smart Building ทั้งการใช้ระบบจดจำใบหน้า และการใช้ระบบ AI เพื่อเฝ้าระวัง รวมไปถึงการใช้ระบบเซนเซอร์อัตโนมัติเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติ ล้วนเป็นการรักษาความปลอดภัยแบบเชิงรุก เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระบบจะช่วยแนะนำแนวทางป้องกันและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้เมื่อ Smart Building มีการเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีมากขึ้น ความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อรับรองความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร เช่น การรักษาความลับของข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้ Smart Building มีความสมบูรณ์แบบ ระบบรักษาความปลอดภัยจึงควรจัดอยู่ในระบบที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของอาคาร
Smart Building Solutions จึงเป็นโซลูชันอัจฉริยะที่จะช่วยบริหารจัดการระบบต่าง ๆ ในอาคารให้มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการดูแลความปลอดภัยผ่านระบบควบคุมสิทธิการเข้าออกพื้นที่ (Smart Access Control), ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Smart Security (CCTV)), กล้องตรวจจับอุณหภูมิร่างกาย (Thermal Camera Recognition) และระบบบริหารจัดการผู้มาติดต่อ (Visitor Management)
ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและให้ความสะดวกสบายต่อผู้อยู่อาศัย หรือผู้ใช้พื้นที่ในอาคาร ผ่านระบบจอดรถอัจฉริยะ (Smart Parking) และหุ่นยนต์อัจฉริยะที่คอยต้อนรับและดูแลความปลอดภัย (AIS Robot Platform) รวมไปถึงระบบที่ช่วยให้การบริหารจัดการอาคารดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบบริหารจัดการระบบอาคารศูนย์กลาง (IoT Operation Center (IOC)) และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยี 5G (5G building network infrastructure) ซึ่งทำให้ทุกระบบภายในอาคารทำงานได้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ซึ่ง Smart Building Solutions เหล่านี้เป็นการเพิ่มคุณค่าและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาคาร พร้อม ๆ กับการช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในตัว
Smart Building คือ วันนี้และอนาคตของวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมรับทราบข้อมูลแบบเรียลไทม์ นำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญทางธุรกิจ อีกทั้งข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการประมวลผลด้วยระบบอัจฉริยะ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง และยังช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการ รวมไปถึงสร้างเป็นความยั่งยืนทางธุรกิจในอนาคตด้วย
และเพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่า เทคโนโลยีที่เลือกใช้มีทั้งคุณภาพและได้มาตรฐาน AIS Business สามารถเป็นผู้ช่วยและตอบโจทย์ด้านการให้บริการด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G โครงข่ายอัจฉริยะที่มีคลื่นมากที่สุด ครอบคลุมถึง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้งยังมีทีมงานผู้มีความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล แพลตฟอร์มจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก เพื่อการให้บริการด้าน ICT และโซลูชันเฉพาะเพื่อภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม อย่างครบวงจร
วันที่เผยแพร่ 21 ตุลาคม 2567
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"
ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business