ธุรกิจจำนวนมากในปัจจุบันหันมาใช้งาน Cloud เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น (Resilient) ในการทำธุรกิจ ทั้งยังหมายมั่นปั้นมือในเรื่องของระบบสำรองและความปลอดภัยในการใช้งานต่าง ๆ ทำให้ Cloud กลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการผลิตที่ใช้ทั้งการควบคุม บริหารจัดการทรัพยากร การ Monitoring ไปจนถึงการทำ Digital Twin แต่เคยตั้งคำถามกันไหมครับว่า Cloud ที่ใช้งานกันอยู่นั้นมีความปลอดภัยจริงหรือไม่? แล้วถ้าจะลงรายละเอียดเพิ่มเติม ความปลอดภัยที่มีนั้นอยู่ในระดับที่ทำให้ธุรกิจของคุณนั้นปราศจากความเสี่ยงร้ายแรงหรือเปล่า? ลองมาทำความรู้จักกับ Sovereign Cloud กุญแจสำคัญสำหรับอธิปไตยของข้อมูลยุคดิจิทัล (Digital Sovereignty) ในแพลตฟอร์มออนไลน์ของธุรกิจยุคใหม่กันครับ
การใช้งาน Cloud ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกิจยุคใหม่ ด้วยเหตุผลด้านความสะดวกสบาย การลดต้นทุน และอีกส่วนที่ผู้คนให้ความสำคัญกันมากที่สุด ‘ความปลอดภัย’ ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Cloud เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก และบริการที่เกิดขึ้นโดยมี Cloud เป็นพื้นฐานนั้นก็มีจำนวนมหาศาลยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสำหรับ CRM, การใช้งาน ERP, กิจกรรมแบบ Real-time Interactive ไปจนถึงแพลตฟอร์มการบริหารจัดการในโรงงาน โดยหนึ่งในจุดขายของผู้ให้บริการเหล่านี้ คือการใช้งานบนแพลตฟอร์มของ Cloud ที่มีชื่อเสียงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับประกันว่าระบบของตัวเองมีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัย แต่สงสัยกันหรือไม่ว่าความปลอดภัยที่ว่าในโลกของ Cloud นั้นคืออะไร?
‘Digital Sovereignty’ ความมั่นคงของทุกธุรกิจในยุคดิจิทัล
เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการแข่งขันในยุคปัจจุบันความเป็นดิจิทัลมีความเกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ, แวดวงการเงินการธนาคาร, โรงงานอุตสาหกรรม, โรงพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งครอบคลุมกระบวนการการทำงานภายในไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง บัญชี การผลิต การตลาด การวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างเอกสารไปจนถึงการใช้งานเครื่องจักรอัตโนมัติ แน่นอนว่าในกระบวนการเหล่านี้มีข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลลับของบริษัทอยู่จำนวนไม่น้อย ข้อมูลที่เกิดขึ้นเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเป็นน้ำมันแห่งยุคใหม่ กล่าวคือ ข้อมูลมีมูลค่ามหาศาลนั่นเอง
เมื่ออยู่ในยุคที่ใคร ๆ ต่างก็ใช้ข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล แต่หลายคนอาจหลงลืมไปว่าดิจิทัลเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ในข้อดีก็ยังมีข้อพึงระวัง เมื่อส่งไฟล์ง่าย เก็บรักษาได้นาน ก็หมายความว่าถูกทำสำเนาหรือคัดลอกได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว ไปจนถึงการเข้าควบคุมสิทธิ์หรือยึดครองระบบอย่างไม่ถูกต้องก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามสถานการณ์เลวร้ายสูงสุดเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากรอยร้าวหรือรอยรั่วในระบบที่มาจากประเด็นเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลหรือการใช้งาน การดูแลและป้องกันความปลอดภัยให้กับแหล่งเก็บข้อมูล ซึ่งหัวใจสำคัญในการจัดการปัญหาเหล่านี้ คือ การมีอธิปไตยด้านดิจิทัล (Digital Sovereignty) อย่างแท้จริง
อธิปไตยด้านดิจิทัลคืออะไร? World Economic Forum ได้ให้ความหมายของ ‘อธิปไตยด้านดิจิทัล’ เอาไว้ดังนี้ ‘อธิปไตยด้านดิจิทัล คือ ความสามารถในการควบคุมและบริหารจัดการสินทรัพย์หรือข้อมูลดิจิทัลของตัวเองได้อย่างครบสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้หรือสร้างขึ้นมา’
การทำงานยุคปัจจุบันที่เน้นการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพื่อลดภาระต้นทุนต่าง ๆ ทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ข้อมูลภายในก็จะสามารถเข้าถึงได้จากภายนอกได้อย่างสะดวกสบาย คำถามที่สำคัญที่กระทบถึงความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูล คือ ใครสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้บ้าง? ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ไหนหรือถูกคัดลอกไว้ที่ใดบ้าง? สามารถไว้วางใจในการดูแลข้อมูลเหล่านี้ได้มากแค่ไหน? และถ้าหาก Cloud ที่คุณใช้บริการนั้นมีการจัดเก็บข้อมูลนอกประเทศจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณสามารถครอบครองและบริหารจัดการอธิปไตยของข้อมูลคุณได้อย่างเต็มศักยภาพ หากเกิดสงครามหรือโรคระบาดขึ้นมาข้อมูลเหล่านั้นจะไม่สูญหายไปหรือสามารถสำรองข้อมูลได้ทันท่วงที
ลองจินตนาการดูว่าหากข้อมูลของเรา เช่น เลขบัตรเครดิต, ข้อมูลการรักษาและสุขภาพ รวมไปถึงข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ หรือประวัติการทำธุรกรรมต่าง ๆ สูญหาย, หลุดไปถึงมือคู่แข่งหรือผู้ไม่ประสงค์ดี คนเหล่านั้นสามารถรู้รูปแบบของพฤติกรรมหรือกิจกรรมของเรามากกว่าที่เราเองรู้จักและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ดีได้ หากคู่แข่งสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและต่อยอดได้สำเร็จล่ะ? ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจก็จะหมดสิ้นลงแทบจะในทันที
ในกรณีของความเสียหายส่วนบุคคล ข้อมูลที่รั่วไหลหรือถูกผู้อื่นเข้าถึงได้จะสามารถถูกนำไปปลอมแปลงตัวตนเพื่อทำผิดกฎหมายโดยที่เจ้าของข้อมูลอาจไม่รู้ตัว หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจส่งผลต่อชีวิตได้ไม่ยาก เช่น การเจาะข้อมูลจาก Cloud ที่ Smart Device ส่งข้อมูลขึ้นไปทำให้รู้ถึงข้อมูลสุขภาพ การเดินทาง ไปจนถึงทรัพย์สินดิจิทัลที่ถือครอง เพิ่มโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียจากการใช้ข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ยากใช่ไหมครับ?
ในกรณีของโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ หากมีผู้สามารถเข้าถึงการควบคุมระบบต่าง ๆ โดยไม่ได้รับสิทธิ์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงไม่อาจจินตนาการได้ครบถ้วนกันเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น การตัดระบบควบคุมความปลอดภัย การปิดระบบระบายอากาศ การเข้ารหัสข้อมูลสำคัญทำให้ไม่สามารถเข้าถึงหรือใช้งานได้ ตลอดจนการเข้าถึงข้อมูลของคู่ค้าและพันธมิตรต่าง ๆ ซึ่งความเสียหายเหล่านี้เรียกได้ว่าสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว เป็นหายนะที่กู้คืนและแก้ไขได้ยาก เพราะเมื่อข้อมูลรั่วไหลเข้าสู่ระบบเครือข่ายสากลแล้วการติดตามเพื่อระงับหรือทำลายข้อมูลทั้งหมดเรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยในยุคปัจจุบัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังเป็นความเสียหายต่อความไว้วางใจในธุรกิจจากคู่ค้าและพันธมิตรอีกด้วย เมื่อเราไม่อาจกำหนดหรือควบคุมสิทธิ์ใด ๆ ในข้อมูลของเราได้ เมื่อนั้นเราก็ไม่ได้มีอธิปไตยเหนือข้อมูลของเราเองอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือภาคธุรกิจ
แนวคิดเรื่องอธิปไตยข้อมูลจึงกลายเป็นประเด็นที่ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ใช่เพราะมูลค่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยในภาพใหญ่อย่างเศรษฐกิจอีกด้วย ซึ่งในกรณีของการใช้งาน Cloud นั้นเรียกได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับอธิปไตยด้านข้อมูลในระดับฝังรากลึกตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานเลยทีเดียว
ข้อมูลจากสหภาพยุโรปเปิดเผยว่าข้อมูลกว่า 92% ในโลกตะวันตกนั้นอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลกิจกรรมทั้งบนช่องทางสื่อออนไลน์ ข้อมูลภาครัฐต่าง ๆ จึงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่อาจมีอธิปไตยในการควบคุมข้อมูลของตัวเองได้ หากพิจารณาตามตำแหน่งที่ตั้งของ Cloud ทางกายภาพ ตลอดจนถึงความสามารถในการตรวจสอบแก้ไขต่าง ๆ ทำให้สหภาพยุโรปเริ่มต้นกระบวนการตั้งเซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ของตัวเองและพยายามโอนถ่ายทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดการหมุนเวียนในภูมิภาคของตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันบ่อยครั้งโดยต่อยอดมาจากอธิปไตยด้านข้อมูล คือ Sovereign Cloud หรือการมีอธิปไตยทางด้านข้อมูลอย่างแท้จริงบน Cloud ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทุกธุรกิจต้องใช้งานในยุคปัจจุบัน
Sovereign Cloud ความมั่นใจในอธิปไตยของข้อมูลในการทำธุรกิจยุคดิจิทัล
เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ไปจนถึงความปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจ หลายองค์กรจึงได้หันมาใช้งาน Cloud เพื่อดูแลรักษาข้อมูลและดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการทดแทนระบบออฟไลน์ทั้งหมด การใช้งานแบบผสมผสาน ไปจนถึงการใช้งานในบางส่วนหรือบางแผนก แต่มักไม่ได้พิจารณาถึงแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ผู้ให้บริการสามารถดำเนินการได้ ซึ่งแนวคิดด้านความปลอดภัยบน Cloud เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรก โดยข้อมูลกลุ่ม Workload Data เป็นข้อมูลที่ถูกควบคุมและมีการป้องกันจากข้อบังคับของภาครัฐ ในขณะที่ข้อมูลกลุ่ม Meta Data มักถูกละเลยและกลายเป็นช่องโหว่ในการดูแลอธิปไตยของข้อมูลที่ต้องส่งผ่านเครือข่าย
หากพูดถึงอธิปไตยของ Cloud แล้วต้องนึกถึงหนึ่งในบริษัทผู้บุกเบิกและให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าวเป็นลำดับต้น ๆ อย่าง VMware ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันดิจิทัลที่สาย IT หรือสาย Tech รู้จักกันมายาวนาน โดยนิยามความหมายเอาไว้ว่า ‘Sovereign Cloud เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเกิดการเข้าถึงข้อมูลได้ตามความต้องการที่มีความเข้มงวดในแต่ละอุตสาหกรรมซึ่งแตกต่างกันออกไป และต้องเป็นไปตามกฎหมายท้องถิ่นที่ว่าด้วยเรื่องของ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล และการควบคุมข้อมูล ทำหน้าที่ปกป้องข้อมูลที่อ่อนไหวไม่ว่าจะเป็นในภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม’
การมาถึงของแนวคิด Sovereign Cloud นั้นเป็นการตอบสนองต่อปัญหาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การตื่นรู้เรื่องความปลอดภัยรูปแบบนี้จึงกลายเป็นทักษะและความรู้พื้นฐานของโลกสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ในฐานะผู้ให้บริการ Cloud ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยที่นอกจะเป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้วยังต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหรือกฎหมายของประเทศอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยได้มีการกำหนดแนวทางของการบริการ Cloud ตามเอกสาร ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวทางการใช้บริการ Cloud พ.ศ. 2562 ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวคิดพื้นฐานของ Sovereign Cloud
โดย Richard Damoser, Director – Cloud Sales – Strategy and Planning จาก VMware ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอธิปไตยด้านข้อมูลในโลกปัจจุบันที่น่าสนใจเอาไว้ ดังนี้
“โลกแห่งข้อมูลนั้นได้เปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างที่พวกเราได้เผชิญหน้ากันอยู่ในปัจจุบัน ความเข้มข้นของปัญหาอธิปไตยด้านข้อมูลนั้นร้ายแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อธิปไตยด้านข้อมูลกลายเป็นหัวใจสำคัญในทุกเรื่องของยุคปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลดิจิทัล”Richard Damoser, Director – Cloud Sales – Strategy and Planning บริษัท VMware
สำหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ เช่น ภาครัฐ, แวดวงการเงินการธนาคาร, โรงพยาบาล หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่กำลังมองหา Sovereign Cloud ที่มีความมั่นคงและความปลอดภัยทางด้านข้อมูลและได้รับการรับรองจาก VMware Sovereign Cloud Verified ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งคุณภาพและความไว้ใจที่ธุรกิจชั้นนำระดับสากลต่างเลือกใช้ จะสามารถรับประกันความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนถึงทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่ง AIS Business เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการน้อยรายจากทั่วโลกที่ได้รับการรับรองดังกล่าว
AIS Business ผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจาก VMware
VMware Sovereign Cloud Verified สัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ความปลอดภัย และอนาคตที่ยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งทั่วทั้งโลกมีผู้ให้บริการเพียง 31 รายเท่านั้นที่ได้รับการรับรองดังกล่าว และ AIS Business ถือเป็น 1 ใน 31 รายและเป็นผู้ให้บริการรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองดังกล่าวอีกด้วย
AIS Sovereign Cloud เป็นส่วนหนึ่งใน AIS Cloud X นิเวศ Cloud อัจฉริยะโดยได้เข้ามาเติมเต็มในส่วนของการปกป้องเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมถึง Meta Data จะถูกจัดเก็บและปกป้องโดยอ้างอิงจากกฎและข้อกำหนดตามกฎหมายของประเทศไทย โดยไม่ถูกควบคุมและแทรกแซงจากต่างประเทศ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญ ดังนี้
Data Sovereignty and Jurisdictional Control
ข้อมูลทั้งหมดที่มีการจัดเก็บของ AIS Sovereign Cloud นั้นจะอยู่ภายใต้การควบคุมและอำนาจของประเทศไทยเท่านั้น โดยมี Data Center ความปลอดภัยสูงกระจายตัวอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ
Data Access & Integrity
โครงสร้างพื้นฐานของ AIS Sovereign Cloud ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่น พร้อมรับประกันความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลตลอดเวลาด้วย Data Center อย่างน้อย 2 แห่ง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ มั่นใจได้ในการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
Data Security & Compliance
AIS Sovereign Cloud มีการควบคุมระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ซึ่งมีการตรวจสอบและอัปเดตสม่ำเสมอเพื่อรับประกันว่า Cloud ที่ให้บริการอยู่นั้นมีความพร้อมและความปลอดภัยระดับสูงสุด
Data Independence & Mobility
ความยืดหยุ่นของสถาปัตยกรรม Multi-Cloud ทำให้ AIS Sovereign Cloud สนับสนุนการเคลื่อนย้ายข้อมูลและแอปพลิเคชันได้ง่าย ป้องกันปัญหาติดสัญญา (Lock-In) กับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งในการใช้บริการที่ส่งผลให้การโอนถ่ายข้อมูลเกิดปัญหาและส่งผลต่อต้นทุนในการใช้งาน
Data Innovation & Analytics
AIS Sovereign Cloud สนับสนุนให้เกิดการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อเพิ่มมูลค่าได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถนำสิ่งที่มีไปต่อยอดความสำเร็จของธุรกิจ
AIS Sovereign Cloud พร้อมต่อยอดโซลูชันมากมายภายใต้ AIS Cloud X นิเวศ Cloud อัจฉริยะ
โซลูชันและบริการจาก AIS Cloud X ที่เป็นพันธมิตรกับ VMware นั้นมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นในการใช้งานอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น NSX Advanced Load Balance (NSX-ALB) ที่เพิ่มความคล่องตัวและความปลอดภัยในการจัดการเครือข่าย, VMware Tanzu ที่ช่วยให้ใช้งาน Container ได้ง่ายขึ้น, VMware Kubernestes ที่ช่วยให้ Deploy และจัดการข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึง AIS Carbon Black Managed Service ที่ช่วยลดเวลาในการติดตามข้อมูล หากเกิดปัญหาขึ้นในระบบจากหลักวันเหลือหลักนาที เรียกว่าเป็น Anti-Virus ยุคใหม่ก็ไม่ผิดนัก และยังมี Backup and DR ที่ช่วยรับประกันความปลอดภัยและการกู้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วด้วย VDCA ของ VMware ที่ทำงานแบบ Cloud to Cloud Backup อีกด้วย
นอกเหนือจากมาตรฐานด้านดิจิทัลจาก VMware ที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าแล้ว Data Center สำหรับให้บริการของ AIS Cloud X เองยังมีมากถึง 7 แห่งกระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ปทุมธานี สงขลา ขอนแก่น และชลบุรี มาพร้อมกับความปลอดภัยของอาคารระดับสูงด้วยระบบสำรองไฟชั่วคราวยาวนานถึง 15 นาที และมีการดับเพลิงด้วยไนโตรเจนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความเสียหายของข้อมูลอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ต้องการทำ Big Data อาจเจอปัญหาด่านแรก คือ ค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล ซึ่งเทรนด์ต่าง ๆ เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การลงทุนที่เกิดขึ้นอาจต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในอีกครึ่งปีถัดมาก็เป็นได้ AIS Business จึงได้ออกแบบการใช้งานแบบ Pay Per Use ที่มีความคุ้มค่าสูง ใช้เท่าไรจ่ายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงสร้างหรือการพัฒนาต่าง ๆ เองจำนวนมาก แต่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วอีกต่อไป
หนึ่งในมายาคติที่ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ใช่สาย IT หรือผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเคยชิน คือ Cloud นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอนและเป็นคำตอบของทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเทคโนโลยีใดที่เป็น One Solution Fit All ซึ่ง Cloud เองสามารถให้ความปลอดภัยได้มากกว่าแต่ไม่สามารถเป็นทุกคำตอบได้ในตัวเอง แต่การมี Sovereign Cloud จะช่วยยกระดับเรื่องความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูลซึ่ง นับเป็นพื้นฐานของธุรกิจยุคใหม่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการผลิตที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาลเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีไปจนถึงเพิ่มความปลอดภัยให้กับโรงงานอุตสาหกรรมได้ในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะนี้ให้กับธุรกิจของคุณ
สนใจใช้งาน AIS Sovereign Cloud และบริการ Cloud ครบวงจรติดต่อทีมงาน AIS Business ได้ทันที
วันที่เผยแพร่ 23 ธันวาคม 2565
AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"
ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business
สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก AIS Business เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ทันที