ปี 2024 แล้ว ธุรกิจค้าปลีกควรมีเทคโนโลยีอะไรเพื่อส่งเสริมการขายบ้าง

              แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้

              โดยศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในปี 2023 ต่อเนื่องถึงปี 2024 ลูกค้าจะมีความนิยมในการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เพราะความรวดเร็วและสะดวกสบาย โดยมีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-2.5% ธุรกิจค้าปลีกจึงต้องเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ ให้มีช่องทางที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการขายสินค้าแบบหน้าร้าน และแบบออนไลน์ควบคู่กันไป เพื่อให้ธุรกิจได้ก้าวทันความต้องการที่รวดเร็วของลูกค้า ดังนั้นการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับรูปแบบของธุรกิจ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อม และเริ่มต้นนำเทคโนโลยีที่จะช่วยส่งเสริมการขายมาใช้ตั้งแต่วันนี้

แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้

ปรับเปลี่ยนอย่างไรให้เป็น Smart Retail ที่มีความยั่งยืน

              การปรับเปลี่ยนรูปแบบไปสู่ Smart Retail อย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไทย ปัจจุบันมีการแข่งขันหลักอยู่ที่การให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่เข้ามาตอบสนองความต้องการและมอบประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบ Omni Channel อีกทั้งยังเปิดให้คู่ค้าที่เป็นพันธมิตรได้เข้ามาช่วยเสริมและเติมเต็มการค้าปลีกให้เติบโตไปพร้อมกัน

              จึงกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีคือกลยุทธ์ที่อุตสาหกรรมค้าปลีกควรนำเข้ามาช่วยส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะร้านค้าที่มีเฉพาะหน้าร้าน หรือแบบออฟไลน์ เพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ให้กับลูกค้า หรืออธิบายให้เห็นภาพได้ง่าย ๆ ว่า ธุรกิจค้าปลีกจะต้องทำให้การขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ มีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันอย่างเรียบเนียนที่สุด และที่สำคัญ การมีเพียง Omni Channel เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะในปี 2024 กำลังซื้อและความต้องการซื้อสินค้าของกลุ่มลูกค้าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ธุรกิจค้าปลีกจึงต้องมีแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้รอบด้าน ทั้งการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันทุกรูปแบบ, การขายสินค้า และการจัดส่งสินค้า

              นอกจากนี้เรื่องของการรับสินค้าก็มีความสำคัญ ธุรกิจค้าปลีกควรมีช่องทางการรับสินค้าที่หลากหลาย ให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความสะดวก ทั้งการรับสินค้าเองที่สาขา ที่หน้าร้าน หรือบริการจัดส่งสินค้าให้ถึงบ้าน แพลตฟอร์มแอปพลิเคชันจะเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้ประกอบการและผู้ซื้อ เพื่อนำเสนอการให้บริการแบบไร้รอยต่อ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อีกทั้งยังช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ได้ในที่เดียว ไม่ต้องกระจายไปสู่แอปพลิเคชันอื่น ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว พัฒนาไปสู่สุดยอดการให้บริการ ที่เพียงแอปพลิเคชันเดียวก็สามารถทำได้ครบทุกความต้องการ เช่น การสั่งอาหาร, การจองที่พัก, การซื้อสินค้า, การจัดส่งสินค้า, การจองที่จอดรถ หรือแม้แต่การจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น เมื่อทุกการให้บริการเชื่อมต่อกันอย่างไร้ที่ติ ธุรกิจค้าปลีกจะเปลี่ยนเข้าสู่ Smart Retail ที่มีความยั่งยืนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้

เทคโนโลยีคู่ใจธุรกิจค้าปลีก ที่ปี 2024 ต้องมี

              มาถึงเรื่องของเทคโนโลยีที่ในปี 2024 นี้ ที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำมาใช้เป็นผู้ช่วยข้างกาย ซึ่งนอกจากเรื่องของแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่สามารถช่วยสร้างความยั่งยืน และต่อยอดไปสู่ความมั่นคงทางธุรกิจ ทั้งในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไป

1. เทคโนโลยีสำหรับจัดการข้อมูล ข้อมูลหรือ Data มีความสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนให้ธุรกิจค้าปลีก ก้าวไปสู่การเป็น Smart Retail เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ กลุ่มลูกค้าหรือผู้บริโภค มีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อร้านค้าใดไม่สามารถให้บริการได้ ก็พร้อมจะเปลี่ยนไปสู่ร้านค้าอื่น ๆ โดยที่ไม่รอร้านค้าเดิม ดังนั้นธุรกิจค้าปลีกจึงต้องมีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคเหล่านี้ ทั้งกลุ่มที่ยังต้องการซื้อสินค้าจากหน้าร้าน และกลุ่มที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์

             ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียง “ข้อมูล” เท่านั้น ที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจถึงความต้องการและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ข้อมูลจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแน่ใจได้ว่า มีสินค้าที่มากพอ และเป็นสินค้าที่เลือกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกคน หรือแม้แต่ความต้องการของลูกค้าบางคน ข้อมูลก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่า สามารถคัดเลือกสินค้าที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจเพื่อรองรับความต้องการ เป็นการให้บริการแบบตัวต่อตัว ที่แตกต่างไปจากการขายสินค้าแบบเดิม

             ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ข้อมูลจะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าใจได้ว่า กลุ่มลูกค้าต้องการอะไร ต้องการแบบไหน และต้องการเมื่อไหร่ และด้วยฐานข้อมูลจำนวนมาก ตัวจัดเก็บข้อมูลคือเทคโนโลยีที่ควรมี ไม่ว่าจะเป็น Cloud ที่มีความจุมหาศาล อีกทั้งยังสามารถปรับเพิ่มหรือลดขนาดการจัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ หรือ Edge Computer เพื่อการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจในเรื่องเร่งด่วนได้อย่างแม่นยำ

2. เทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่ราบรื่น เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G คือผู้ช่วยส่งเสริมการขายที่ผู้ประกอบการจะต้องมี เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะมีความทันสมัยมากเพียงใด แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยเพื่อจัดการเครือข่ายการสื่อสาร อุปกรณ์อันทันสมัยก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความรวดเร็วของกลุ่มผู้บริโภคได้ทัน เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G เป็นระบบที่ได้รับความไว้วางใจในยุคปัจจุบัน ด้วยความรวดเร็วในการทำงาน และความเสถียรในเวลาแฝงที่ต่ำ จะช่วยสนับสนุนให้อุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลของ Edge Computer, อุปกรณ์เซนเซอร์ของ IoT, ระบบประมวลของ Cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของ AI 

แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้

3. เทคโนโลยีเพื่อสร้างความพึงพอใจ ประสบการณ์การชอปปิงที่สร้างความพึงพอใจสูงสุด เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ โดยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ คือ อุปกรณ์เซนเซอร์อัจฉริยะของ IoT ที่ทำงานร่วมกับระบบประมวลผลของ Cloud จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค ผู้ประกอบการจะสามารถออกแบบแคมเปญ คัดเลือกสินค้า และนำเสนอการให้บริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด เสมือนกับการล่วงรู้ความต้องการล่วงหน้า ซึ่งนอกจากผู้ประกอบการจะได้เข้าใจถึงความต้องการอย่างถ่องแท้แล้ว ยังช่วยให้อัปเดตเทรนด์ได้อย่างรวดเร็วว่า ในปัจจุบันพฤติกรรมการชอปปิงเป็นอย่างไร และมีเทรนด์อะไรที่กำลังจะเข้ามาใหม่ รวมไปถึงเทรนด์ไหนกำลังจะผ่านพ้นไป ช่วยให้ภาพรวมของการให้บริการมีความแปลกใหม่และเท่าทันกระแสอยู่เสมอ

4. เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเชื่อมต่อธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์อย่างเรียบเนียน นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงแล้ว เทคโนโลยียังช่วยสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่ใช้พลังงานต่ำ แต่ในขณะเดียวกันก็มีศักยภาพในการควบคุมพลังงานภายในพื้นที่อาคารค้าปลีก ด้วยการติดตั้งเซนเซอร์ IoT เพื่อควบคุมการใช้เครื่องปรับอากาศ, ติดตามและควบคุมการใช้พลังงานไฟฟ้า, ตรวจสอบการใช้ปริมาณน้ำ, ตรวจสอบความหนาแน่นของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และรวมไปถึงตรวจสอบและแจ้งเตือนการเสื่อมสภาพของตัวอาคาร หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ทั่วอาคาร ทั้งหมดนี้สามารถตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมได้ เป็นการประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ที่ผู้ประกอบการจะใช้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและด้านการซ่อมบำรุงในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมเป็นการตอบแทน ในขณะที่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ ก็จะได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไปด้วย

แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้

             ภาพรวมของเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกในปี 2024 ที่จะส่งผลต่อเนื่องไปยังปีต่อ ๆ ไป จะเป็นการแข่งขันกันทางแพลตฟอร์มออนไลน์ การให้บริการ และข้อมูลเชิงลึก ซึ่งตัวช่วยเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น AI, IoT หรือระบบอัตโนมัติ ล้วนมีมานานจนกลายเป็นเรื่องปกติของภาคธุรกิจ ดังนั้นสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างคือ การเข้าถึงข้อมูล และการนำเสนอการให้บริการที่สร้างความประทับใจสูงสุด

             ดังนั้นหากผู้ประกอบการกำลังมองหาผู้ช่วยที่จะขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่การเป็น Smart Retail ที่สามารถขยายสาขาไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือก้าวไปสู่สาขาต่างประเทศได้ AIS Business พร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ ที่ตอบโจทย์ด้านการให้บริการ ด้วยโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ที่มีคลื่นมากที่สุด ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย พร้อมทีมงานผู้มีความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมไปถึงแพลตฟอร์มจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก และการให้บริการด้าน ICT Solution อย่างครบวงจร

วันที่เผยแพร่ 14 กุมภาพันธ์ 2567

Reference

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business