Traction คืออะไร และเกี่ยวข้องยังไงกับสตาร์ทอัพ?
15 พ.ค. 2562

ในโลกที่ทางเลือกมีอยู่มากมาย หลายคนมักเลือกทางที่ตัวเองจะสร้างรายได้ด้วยการ “เป็นนายตัวเอง” อาชีพ Freelance หรือธุรกิจส่วนตัวจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อที่ว่าการที่เป็นนายตัวเอง หรือเจ้าของธุรกิจส่วนตัวจะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน รวมไปถึงอิสรภาพในการดำเนินชีวิต และสามารถสร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่มีอาวุธที่เรียกว่า “ไอเดีย” บวกกับการมีทีมงานคุณภาพ แผนธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ธุรกิจก็จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาคือ ไม่มีนายจ้างหรือนักลงทุนคนไหน อยากเอาเงินตัวเองไปจมกับสิ่งที่มองไม่เห็นอนาคต จริงไหม? ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เหล่าสตาร์ทอัพควรคำนึงถึงก็คือ “Traction” แล้ว Traction คืออะไร และเกี่ยวข้องยังไงกับสตาร์ทอัพ ?

ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ อาจจะยังไม่มี Revenue หรือรายได้มากนัก แต่สตาร์ทอัพควรจะต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า Product เริ่มมีคนเข้ามาใช้งานแล้ว Traction จึงถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะบอกได้ว่า Product ของคุณจะเวิร์คหรือไม่ นอกจากจะช่วยสร้างความชัดเจน ความเชื่อมั่นแล้ว ยังเป็นตัวที่บอกได้ว่าธุรกิจของคุณมีตลาดรองรับอยู่จริง

Traction จึงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากในการเลือกลงทุนกับสตาร์ทอัพ โดยในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หากมีการวางแผนที่จะไปขอเงินลงทุนจากนักลงทุน สิ่งที่ควรทำนอกจากการวางแผนการตลาดที่ดีแล้ว ควรที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตจนมี Traction ที่ดี และควรรู้จักเตรียมข้อมูลในส่วนนี้ให้อ่านง่าย วัดได้ และน่าสนใจที่สุดด้วยเช่นกัน

คำว่า “Traction” คืออะไร

ถ้าแปลเป็นไทยตรงตัวในพจนานุกรม จะมีความหมายว่า การลาก หรือการดึง ซึ่งในบริบทของธุรกิจศตาร์ทอัพ Traction คือตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการดึงลูกค้ามาใช้สินค้าของเรา ไม่ว่าจะด้วยการแสดงสถิติจำนวนผู้ใช้งานในปัจจุบัน (Accquistion) จำนวนลูกค้าที่จ่ายเงินให้เรา (Revenue) จำนวนลูกค้าที่ใช้เกิน 1 ครั้ง หรือกลับมาใช้ซ้ำ (Retention) หรือจำนวนผู้ที่สนใจ หรืออื่นๆ เพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่น อย่างเป็นรูปธรรมไปกับสตาร์ทอัพ อย่างน้อยเพื่อทราบถึงจำนวนว่า ยังมีผู้คนเหล่านี้ที่มีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ และมันสามารถแก้ไขได้จริงๆ

ความหมายก็คือ “Traction” คือ ผู้เข้ามาใช้บริการของเรานั่นเอง
เช่น จำนวนผู้
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เป็นต้น

Traction and Product market fit

คือ ความสามารถในการดึงลูกค้าให้หันมาใช้สินค้าของเราและสามารถพัฒนา Product ของเราให้ตอบโจทย์ตลาดอยู่ตลอดเวลาทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนสนใจและหันมาลงทุนกับเรา


Retention

คือ จำนวนคนที่กลับมาใช้ซ้ำซึ่งเจ้าตัวนี้นี่แหละคือตัวชี้วัดการเติบโตของธุรกิจที่ดีที่สุดยิ่งมีมากก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่น และความน่าสนใจในการลงทุนอย่างมหาศาล

Traction สำคัญอย่างไร

Traction ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขเท่านั้น แต่รวมถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของโปรดักส์

  • เพื่อพิสูจน์แนวคิดหรือไอเดียว่าสิ่งที่สตาร์ทอัพต้องการนำเสนอเป็นที่ต้องการในตลาดหรือไหม
  • เพื่อเสริมความมั่นใจกับนักลงทุนและเพิ่มโอกาสในการได้รับเงินทุนมากขึ้น
  • เพิ่ม Traction อย่างไรได้บ้าง

    1. มุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า (Customer needs)
    2. พัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยโซเชียลมีเดีย เนื้อหาคอนเทนต์ และช่องทางอื่นๆ เพื่อสร้างการรับรู้ (Brand Awareness)
    3. ทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ (Partner)
    4. ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อติดตามและวัดผล เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น (Measurement)
    5. ไม่ใช่แค่การหาลูกค้าเท่านั้น การรักษาฐานลูกค้าไว้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน (Customer Loyalty)

    การที่ Product จะประสบความสำเร็จหรือตอบโจทย์กับตลาดนั้นอย่างแท้จริงได้ ธุรกิจสตาร์ทอัพควรให้ความสนใจกับลูกค้ามากกว่าผลิตภัณฑ์ เพราะเราควรเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า ทำความเข้าใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกค้าแท้จริงแล้วคืออะไรและการที่ลูกค้าจะยอมจ่ายเงินให้เราเพราะอะไร

    ดังนั้น การเป็นผู้ฟังที่ดีให้มากกว่าความคิดที่จะขายอย่างเดียวมันมี คือ ขุมทรัพย์ที่สตาร์ทอัพหลายคนมองข้ามไป อาจจะต้องยอมเหนื่อยในตอนแรก แต่ผลลัพธ์ที่ตามมามันคุ้มค่า ซึ่งถ้าทำได้ Startup will be success แน่นอน

    หากคุณกำลังคิดว่าจะหันมาเป็นสตาร์ทอัพอย่างเต็มตัว นอกจากการเริ่มต้นหาอาวุธทางไอเดีย กลยุทธ์ทางการตลาดแล้วอย่าลืมสิ่งที่จะนำมาสู่ก้าวแรกของการหารายได้จากนักลงทุน นั่นก็คือ “Traction” สิ่งที่จะสะท้อนผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับธุรกิจของคุณ ทาง AIS The StartUp ขอเป็นกำลังใจให้คนที่มีฝันสู้ต่อไป และจงจำไว้ว่า

    บทความโดย
    AIS The StartUp